PM2.5 ภัยร้ายที่ “มองเห็น”
ช่วงเดือนที่ผ่านมาหลายคนคงมีอาการจมูกฟึดฟัดๆ โดยเฉพาะคนที่มีโรคภูมิแพ้จมูกอยู่เดิม หรือบางคนอาจเริ่มมีอาการกำเริบของโรคทางเดินหายใจเดิมที่เคยคุมได้ดีมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือแม้กระทั่งโรคระบบอื่นๆ ของร่างกายโดยเฉพาะโรคของระบบหัวใจและหลอดเลือด
ทั้งนี้ก็เพราะเจ้า “ฝุ่น” ภัยร้ายที่เดิมมองไม่ค่อยเห็น แต่เพราะปริมาณมันเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทำให้ท้องฟ้าทั่วกรุงเทพและปริมณฑลปกคลุมไปด้วยไอหมอก (จริงๆ มันคือฝุ่น) แถมปัญหายังดูเหมือนจะไม่คลี่คลายไปง่ายๆ ซะด้วย
จริงๆ แล้วปัญหา “ฝุ่น” นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ถ้าเราติดตามข่าว เราคงจะเคยได้ยินมานานหลายปีแล้ว เพียงแต่มันไม่ได้เกิดในกรุงเทพเหมือนตอนนี้ พื้นที่ที่ประสบปัญหาหนักมากคือแถบภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเผาป่า แต่ปัญหานั้นไม่ได้รับการสนใจและแก้ไขจากภาครัฐเท่าที่ควร อีกทั้งประชาชนที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิด “ฝุ่น” ก็ไม่ได้ตระหนักซักเท่าไร
ปัญหาในปีนี้หนักหนากว่าปีก่อนมากมายนักครับ เลยได้โอกาสเอาข้อมูลที่ทำไว้แชร์เมื่อต้นปีก่อน (เกือบครบปีพอดี) มาแชร์ใหม่ เพื่อให้เราๆ ได้ตระหนักกันมากขึ้น
เรามารู้จัก “ฝุ่น” กันเถอะ
นอกจากโรคปอด ระบบอื่นๆ ของร่างกายก็ได้รับผลกระทบได้นะ เพราะฝุ่น PM2.5 มันสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของเราไปยังอวัยวะต่างๆ ได้เหมือนกัน
ฝุ่นต้องเยอะขนาดไหนถึงจะมีผลต่อสุขภาพ?
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าแถวที่เราอยู่ฝุ่นมากน้อยแค่ไหน?
แล้วเรามีวิธีป้องกันยังไง?
ใครไม่มี N95 หรือใส่ไม่ไหวเพราะมันหายใจไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไร ถ้าไม่ได้อยู่กลางแจ้งนานๆ หรือมีโรคประจำตัวรุนแรงที่อาจจะกำเริบได้ เช่น หอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง (ถุงลมโป่งพอง) ก็สามารถใส่หน้ากากอนามัยธรรมดาก็ได้ แต่ต้องใส่ให้ถูกด้านด้วยนะ เอาด้านที่สีเข้มมันๆ ไว้ด้านนอก (จะสีเขียว สีฟ้า หรือเทา ก็แล้วแต่ยี่ห้อหน้ากากครับ)
ถ้าเรายังไม่ตระหนัก ลด-ละ-เลิก การกระทำที่ก่อฝุ่นทั้งหลาย รับรอง เราได้ต้อนรับสถานการณ์ฝุ่นแบบนี้ทุกปีแน่ๆ แถมมันยังจะรุนแรงมากขึ้นๆ อย่างแน่นอน